14/12/52

การที่จะรักใครสักคนต้องรู้ลึกให้ถึงข้างในใจ

การที่จะรักใครสักคนต้องรู้ลึกให้ถึงข้างในใจ





การที่เราจะรักใครสักคนหนึ่ง ต้องพยายามที่จะรู้จักเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้



เราจะต้องรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เราจะต้องรู้ว่าลักษณะนิสัยของเขาเป็นเช่นไร เราจะต้องรู้ความชอบและความไม่ชอบของเขา เพราะการที่เราได้รู้ความต้องการ รู้ลักษณะนิสัยใจคอของเขาเพียงพอที่เราจะสามารถปฏิบัติตนตอบสนองความต้องการของเขาได้อย่างถูกใจ


อันที่จริงแล้วความรักก็ไม่ได้แตกต่างจากเรื่องของการตลาดที่ว่า เราเองเหมือนกับเป็นผู้ผลิต การกระทำของเรานั้นเหมือนผลิตภัณฑ์ คนที่เรารักนั้นเหมือนผู้บริโภค ถ้าเราเข้าใจคนที่เรารักเราย่อมแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องที่สามารถจะเอาใจคนที่เรารักได้ เหมือนนักการตลาดที่สามารถออกสินค้าที่ถูกใจผู้ซื้อได้


ดังนั้นอย่าได้ละเลยในการที่จะพยายามรู้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนที่เรารัก เพื่อให้เราสามารถตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของเขาได้สูงสุด และให้เขานั้นอยากจะอยู่กับเราเรื่อยๆ ไปเพราะเขามีความรู้สึกว่า ความต้องการของเรานั้นได้รับการตอบสนองอย่างน่าพึงพอใจเสมอ
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะรักษาความรักที่ยั่งยืน คนเรานั้นถ้าจะอยู่ด้วยกันจะต้องมีอารมณ์เขิน ที่ฝรั่งเรียกว่า Smile ถ้าหากเขาเล่าเรื่องขำขัน แล้วเราไม่หัวเราะ คิดดูก็แล้วกันว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นเช่นไร ถ้าหากเขาพูดจาเล่นแล้วเราก็โกรธงอนกับข้อความการพูดเล่นเสมอไป เขาก็จะมีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้จืดชืด หรือเขาต้องคอยระแวงระวังคำพูดของเขาตลอดไปว่าเขาจะพูดอะไรขัดใจเราบ้าง เพราะเรานั้นขำไม่ออกกับการเล่นของเขา

ดังนั้นอย่าเป็นคนขาดอารมณ์ขัน เพราะคนที่ขาดอารมณ์ขันนั้นทำให้คนอยู่ใกล้ไม่สนุก และจะต้องคอยระแวงระวังตลอดเวลาว่า ตนเองจะไปทำให้อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเสียใจ


ถ้าหากเราทำให้คนรักของเรานั้นอยู่กับเราด้วยความระวังระแวง เขาจะไม่มีความสุขเลยเพราะการกระทำของเขานั้นจะไม่เป็นธรรมชาติ จะเป็นการกระทำที่ต้องเกิดจากความระมัดระวัง เป็นการกระทำที่เหมือนกับประดิษฐ์ (Make) อยู่ตลอดเวลา

11/12/52

ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกผมนะ





“บางครั้ง...รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของผมมันไม่ใช่ของผมยังไงก็ไม่รู้ผมจะเป็นยังไงต่อไปนะ....”


"และกว่าจะถึงวันที่ผมสามารถยิ้มรับได้ ก็เสีย “น้ำตาไปไม่น้อย ..."


“ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกผมนะ...ผมรับไม่ได้หรอก กับคำว่า *โชคชะตา* ...”


"ไม่ว่าจะร้องไห้แค่ไหน มันก็ไม่สามารถหนีไปจากโรคนี้ได้
ไม่ว่าอยากจะย้อนอดีตแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาเวลานั้นกลับคืนมาได้
เพราะฉะนั้น ผมจึงคิดว่าจะต้องรักตัวเองในแบบที่เป็นตอนนี้ให้ได้"


เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในชีวิต จะมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเราเข้มแข็งกระมังปัญหานี้จึงเลือกเรา เพราะฉะนั้นเราต้องผ่านมันไปให้ได้ ถ้าเรามองปัญหาเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านเข้ามาเติมความเข้มแข็งให้ เราก็จะทำใจยอมรับได้


"อย่าเสียดายน้ำตาไม่ว่าจะกี่ลิตรก็ตาม...ถ้าจะต้องเสียมันไป เพื่อแลกกับความเข้มแข็งและความเข้าใจในชีวิต"
"อย่าเสียดายน้ำตาไม่ว่าจะกี่ลิตรก็ตาม...ถ้าจะต้องเสียมันไป เพื่อแลกกับรอยยิ้มและกำลังใจ"
"อย่าเสียใจ ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว"


“ฉันจะไม่พูดว่า ฉันจะยอมรับในความเป็นตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป”


“หยุดก้าวเดิน แล้วใช้ชีวิตต่อไป...
ถึงแม้ว่าวันนึงจะไม่เหลืออะไร
ความฝันที่ต้องตัดใจไป ก็มอบให้ใครสักคนต่อก็ได้นี่นา...
คนเราน่ะ..อย่ายึดติดกับชีวิตที่ผิดพลั้งในอดีต
แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ”

10/12/52

เพลงคำสัญญา

ก่อนจากกัน ขอสัญญา ฝากประทับตรึงตรา
จนกว่า จะพบกันใหม่
โบกมืออำลา สัญญาด้วยหัวใจ
เพราะความรัก ติดตรึงห่วงใย
ด้วยใจ ผูกพันมั่นคง

ด้วยความดี นั้นฝังตรึง จากไปแล้วคำนึง ตรึงประทับดวงใจ
อย่าได้ลืมเลือน สัญญากันไว้อย่างไร ขอให้เรามั่นคงจิตใจ
ก้าวไปสรรค์สร้างความดี

โอ้เพื่อนเอ๋ย เคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลา ต้องพาให้เราจากกัน
ไม่นานหรอกหนา เราคงได้มาพบกัน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
เพราะเรามั่นในสัญญา

หากแผ่นดิน ไม่ฝังกาย จะสุขจะทุกข์เพียงใด น้อมกายยิ้มสู้ฟันฝ่า
ร้อยรัดดวงใจ มั่นในคำสัญญา สร้างสรรค์เพื่อมวลประชา นี่คือสัญญาของเรา

โอ้เพื่อนเอ๋ย เคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลา ต้องพาให้เราจากกัน
ไม่นานหรอกหนา เราคงได้มาพบกัน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
เพราะเรามั่นในสัญญา

หากแผ่นดิน ไม่ฝังกาย จะสุขจะทุกข์เพียงใด น้อมกายยิ้มสู้ฟันฝ่า
ร้อยรัดดวงใจ มั่นในคำสัญญา สร้างสรรค์เพื่อมวลประชา
นี่คือสัญญาของเรา


พุทธรักษา ดอกไม้ของ "พ่อ"


พุทธรักษา ดอกไม้ของ "พ่อ"
ดอกไม้ประจำวันพ่อพุทธรักษา มีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์ เป็นพืชในวงศ์ CANNACEAE ชื่อสามัญ Butsarana และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ



ลำต้นมีความสูงประมาณ 12 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วยลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 24 ซ.ม.ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 1015 ซ.ม. ยาวประมาณ 2535 ซ.ม.ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 1520 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 810 ดอกและมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเองการปลูกนิยมปลูกในแปลงเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชื้นสูง ต้องการแสงรำไร หรือในบริเวณกลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด ต้องการน้ำปานกลาง การดูแลรักษาค่อนข้างง่าย สามารถทนต่อโรคต่างๆ ได้ดี ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการแยกหน่อ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือการแยกหน่อ




มงคลความหมาย
พุทธรักษา
นับเป็นพันธุ์ไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนามที่ดีมากชนิดหนึ่ง เพราะแปลว่าพระพุทธเจ้าคอยปกป้องคุ้มครอง

หากบ้านใดมีต้นไม้ชนิดนี้
ก็จะอยู่อย่างสงบสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ คนในครอบครัวรอดพ้นจากภัยและเรื่องราวร้ายๆที่ย่างกายเข้ามา

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มีผู้นิยมเลี้ยงพุทธรักษามาช้านานแล้วอีกทั้งดอก

พุทธรักษาสีเหลือง
ยังเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของวันพ่อ ลูกจะนำดอกพุทธรักษานี้มอบให้พ่อในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี

อันแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นมงคลของไม้ชนิดนี้





พุทธรักษาบางอย่างบริสุทธิ์

อำนาจพุทธอำนาจธรรมที่นำสาส์น

อ่านทางจิตล้างจริตที่ติดนาน

แล้วจะผ่านพบเภทภัยใหม่ใหม่คอย






ชุ่มชื่นระรื่นกาย

สวยบาดตาสดบาดใจ

กลีบดอกปลั่งดั่งยองใย

พุทธรักษาชาติตระกูล


กลอนรัก "ลอยกระทง"



ลอยกระทง...ปีก่อน...นอนไม่หลับ
กระส่ายกระสับ..ถึงเขา...คนเราฝัน
เขาคงหาย...ทุกข์ใจ...ในสักวัน
แต่ว่าฉัน...คิดถึงเขา...เศร้าเหลือเกิน

ลอยกระทง...ปีนี้...อยากมีคู่
บอกเขารู้...ชัดชัด...แสนขัดเขิน
อยากจะชวน....กลัวเศร้า...ถูกเขาเมิน
แต่อยากเดิน...ควงแขนเกี่ยว..เที่ยวทั่วงาน

ลอยกระทง...ปีจะถึง..รำพึงหา
ภาวนา...ตั้งจิต...อธิษฐาน
กระทงน้อย...ลอยคู่...สู่ลำธาร
พบรักหวาน.....กับเขา...คนเราจอง

ลอยกระทง...ปีต่อไป...อยากใกล้เขา
กระทงเรา.....ลอยเด่น..เช่นเราสอง
รักมั่นคง...รักจริง...เป็นกิ่งทอง
ลอยความหมอง...อดสู..สู่คงคา

ลอยกระทง..ปีไหน..ให้สมหมาย
เกี่ยวแขนชาย...ตามมุ่งมาด..ปรารถนา
พรข้อเดียว....หวังไว้...จงได้มา
วอนเทวา...ส่งฝัน...วันลอยกระทง



แต่งไว้ที่กวีคลับ http://www.kaweeclub.com/6/''-4807/



งามแสงจันทร์ วันเพ็ญ เด่นกลางฟ้า
ห้วงนภา แวววับ ระยับฝัน
ไร้เมฆหมอก ม่านมัว มาพัวพัน
งามเฉิดฉัน พราวพร่าง ทางฟ้าไกล

สว่างจ้า งามเด่น เพ็ญสิบสอง
น้ำเจิ่งนอง ห้วยระหาน ลำธารไหล
จันทร์สาดส่อง ทั่วท้อง นภาลัย
สะท้อนใน ธารทอง ของคงคา

ริมฝั่งน้ำ ประทีปทอง มองระยับ
ละเลื่อมจับ วาววาม งามหนักหนา
เพ็ญสิบสอง น้ำนอง ทั่วธารา
ข้าฯบูชา จุดเทียน เวียนนที

กระทงใจ ลอยไป ในแดนสรวง
รักอย่าลวง ร้างกาย ใจหน่ายหนี
วอนพระแม่ คงคา โปรดปรานี
ปลอบชีวี ผูกพัน มั่นมิเลือน

กระทงน้อย ลอยนิ่ง อ้อยอิ่งไหล
ส่งหทัย ข้ามขอบฟ้า ว่าเสมือน
รักคิดถึง ห่วงใย ให้ย้ำเตือน
คุณคือเพื่อน ปลอบขวัญ ทุกวันวาร

น้ำตาแทนความช้ำ






ใจสะทกอกสะท้านร้าวรานนัก


เมื่อความรักเลือนลางแทบจางหาย


คนที่เคยพร่ำพรอดกอดเกี่ยวกาย


วันนี้คล้ายหลบหน้าลืมมาเจอ




วันเลยเลื่อนเดือนผ่านพาลขมขื่น


มิอาจฝืนน้ำจากใจที่ไหลเอ่อ


โหมทะลักท่วมตาจนพร่าเบลอ


เพราะรอเก้อซ้ำซ้ำแสนลำเค็ญ




หยาดน้ำตารินรดกี่หยดแล้ว


หมดวี่แววคนของใจมาให้เห็น


ก่อนได้พบเช้าสายจนบ่ายเย็น


ตอนนี้เป็นเช่นไรจึงไม่มา




คงเป็นลางเตือนไว้รักใกล้ล่ม


เคยร่วมบ่มไม่ทันไรก็ไร้ค่า


น้ำที่ล้นปริ่มนองทั้งสองตา


สื่อวาจาแทนคำ .. ช้ำเหลือเกิน





ผมแต่งไว้ที่ กวีคลับคับ http://www.kaweeclub.com/4/t4836/






เจ็บจนน้ำตาไหล
อยากทรุดตัวร้องไห้อยู่ตรงนั้น
เมื่อคนรักไม่เคยมาสนใจกัน เพิ่มรูปภาพ
เหมือนไม่มีฉันอยู่ที่ใจ
ไม่รัก... ก็บอกได้ไหม
ที่ฉันโทรไปเธอไม่ยอมรับสาย
เธอมีใครคนนั้นยืนอยู่ข้าง-ข้างกาย
ทิ้งให้ฉันหัวใจสลาย ... ที่เดิม






ผ่านวันคืนฝืนจริงยิ่งถลำ
แทบทุกคำรอคนมาค้นหา
ทั้งเปิดเผยเอ่ยคำพร้อมน้ำตา
เพราะเธอมากับอีกคนเธอสนใจ

คำว่ารักกลับสลายกลายเป็นช้ำ
คอยตอกย้ำคำนี้ที่ยิ่งใหญ่
เธอใกล้ชิดประจำไปทำไม
แล้วเปลี่ยนไปเป็นอื่นอย่างฝืนทำ

เพราะรักเองคิดเองเร่งให้เจ็บ
ควรจะเก็บใจไว้ไม่ถลำ
ล้มทั้งยืนเจ็บล้วนควรหลาบจำ
อย่าผิดซ้ำยิ่งรักมักเจ็บตาย

หยาดน้ำตาหลากรอนสอนให้รู้
อย่าคิดตู่เข้าข้างทางทั้งหลาย
เพราะหากรักผิดหวังพังทลาย
เจ็บจนตายยังไร้คนมาสนใจ

9/12/52

มายาการแห่งหลอดด้าย โดยท่าน ว.วชิรเมธี



เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า


"ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ..."


พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก


เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ "คุณค่าของชีวิต" เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ


ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ


แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง "พอมีเวลา" ต่างหาก แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ


ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า "วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน


เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่ไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์


ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า "ใคร คือ คนสำคัญที่สุดงานใด คือ งานที่สำคัญที่สุดเวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"


ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า


"คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา

งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้

เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"


ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป


เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน


ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต


ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ



ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้


ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา


เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา


ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว?

永保安康 ความสงบสุขชั่วนิรันดร์


永保安康 ความสงบสุขชั่วนิรันดร์


从前 像小说的情节你我曾爱的浪漫缠绵用了

心想要 完成每个誓约 祈祷爱情可以永不变

我好挂念我好挂念 若你也记得那些昨天

永保安康 是我们最后的诺言


ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างเคลื่อนถอยไป หวนคิดถึงแต่ก่อนเหมือนกับเป็นเค้าโครงของนิยาย คุณกับฉันเป็นรักที่แสนโรแมนติกประสงค์ให้คำปฏิญาณสำเร็จผลทุกสิ่งอย่างอธิษฐานให้ความรักไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ ฉันคิดถึง ฉันคิดถึงและเป็นห่วงถ้าหากคุณก็จำวันวานเหล่านั้นได้ความสงบสุขชั่วนิรันดร์คือคำมั่นสัญญา ของพวกเรา

ชีวิต..มีสาระ


ชีวิต..มีสาระ


..ชีวิตมีสาระชนะโชค ชีวิตโศกนอนฝันคงขวัญหาย ชีวิตหลงลงเหลวคงเลวตาย ชีวิตร้ายฆ่าฟันสวรรค์เมิน.. “””ชีวีตมีแก่นสารสำราญสุข ชีวิตบุกบากบั่นคนสรรเสริญ ชีวิตล้มแล้วลุกสนุกเพลิน ชีวิตเดินเดินหน้าชีวาดี ....ชีวิตมีคุณธรรมทางนำโชค ชีวิตไม่มีโรคความโศกหนี ชีวิตมากเมตตาบุญยามี ชีวิตหนี้พนันสวรรค์จม …ชีวิตมีการงานบันดาลอิ่ม ชีวิตยิ้มรับสู้จึงรู้สม ชีวิตฝึกฝนพร่ำจึงฉ่ำพรม ชีวิตงมเมามายชีวายวอด …ชีวิตมีสาระชนะแน่ ชีวิตแท้เที่ยงธรรมจำเริญรอด ชีวิตไร้หางเสือเหมือนเรือจอด ชีวิตปลอดเสพติดไร้พิษภัย. ...ชีวิตมีคู่ใจทรามวัยชื่น ชีวิตคู่ราบรื่นทรามชื่นใส ชีวิตสร้างสั่งสมชะโลมใจ ชีวิตไร้วิญญานชีพรานรอน.. …ชีวิตมีสาระธรรมะอยู่ ชีวิตรู้อย่างเย็นไม่เป็นร้อน ชีวิตใฝ่ศึกษาสุดาภรณ์ ชีวิตเอ๋ยจบก่อนง่วงนอนแล้ว…ยาวอีกแล้วคร้าบ.